แครอท อยู่ในวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) มีถิ่นกำเนิด อยู่แถบเอเชียกลาง จนถึงทางตะวันออก ต่อมาได้เผยแพร่เข้าไปใน ยุโรป และประเทศจีน แครอทเป็นพืชสองฤดู โดยฤดูแรกเจริญทางต้น ใบ และราก ฤดูที่สองจะเจริญทางดอก และเมล็ด ลักษณะลำต้นเป็นแผ่นใบ จะเจริญจากลำต้น เป็นกลุ่มมีก้านใบยาว ประกอบด้วย เปลือกบาง(Periderm) และส่วนของเนื้อ(Cortex) ซึ่งประกอบด้วยท่ออาหาร และเป็นแหล่งเก็บ อาหารสำรอง ส่วนใหญ่อยู่ในรูป ของน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ 45-65% ของหัว เนือสีขาว เหลือง ส้ม แดง ม่วงและดำ ส่วนของแกน(inner core) ประกอบด้วย ท่อน้ำ(xylem) และแกน(pith) แครอท สายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูง จะมีแกนขนาดเล็ก และมีสีเดียว กับเนื้อหรือมีส่วนของเนื้อ มากกว่าส่วนของแกน การปลูกฤดูที่สองเพื่อผลผลิตเมล็ดพันธุ์ลำต้นจะยืดตัว สร้างก้านดอกยาว 2-4 ฟุต บนยอดมีช่อดอก ซึ่งช่อแรกจะเจริญ จากส่วนกลางของลำต้น ต่อจากนั้นช่ออื่นๆ จะเจริญตาม การผสมเกสรจะเป็น แบบผสมข้าม ส่วนใหญ่ แมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร
แครอท เป็นพืชที่อุดมไปด้วยสาร Beta carotene โดยเฉพาะบริเวณส่วนของเปลือกแก่ ซึ่งสามารถเปลี่ยน เป็นวิตามินเอสูง (11,000 IU) นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินบี วิตามินเอ ช่วยทำให้ร่างกาย มีภูมิต้านทานโรคหวัด ป้องกันมะเร็ง ป้องกันอาการผิดปกติ ในกระดูก โรคผิวหนัง และรักษาสายตา
แครอท นิยมรับประทานสด ในสลัด หรือนำมาประกอบอาหารชนิดอื่นๆ เช่น ผัด ต้มซุป ใส่แกงจืด ใช้ทำส้มตำแบบมะละกอ คั้นสดรับประทาน เป็นน้ำเพื่อสุขภาพ และช่วยเพิ่มสีสรรในจานอาหาร
"แครอต" มีสารต้านมะเร็งอยู่ในตัวของมัน แต่ว่าถ้าหากเราไม่รู้จักวิธีที่จะนำมารับประทานให้ถูกต้อง แครอตก็ไม่แตกต่างจากผักอื่นๆ ค่ะ
ล่าสุดมีรายงานข่าวบอกว่า นักวิจัยแนะนำอย่าหั่นแครอตเป็นชิ้นๆ ก่อนปรุงอาหาร เพราะจะสูญเสียประสิทธิภาพของสารต้านมะเร็งที่อยู่ในแครอต
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล พบว่า หากนำแครอตมาต้มก่อนหั่นเป็นชิ้น แครอตจะมีสาร "ฟอลคารินอล" ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง มากกว่าหั่นเป็นชิ้นก่อนนำไปต้มถึง 25% สารฟอลคารินอลมีประโยชน์ในการต้านเซลล์มะเร็ง เพราะจากการทดลองกับหนูที่ให้กินสารชนิดนี้พบว่ามีพัฒนาการของเนื้อร้ายลดลง ซึ่งผลการศึกษาจะเสนอต่อที่ประชุมโภชนาการและสุขภาพที่ประเทศฝรั่งเศส
ดร.เคอร์สเทน แบรนด์ท หัวหน้านักวิจัยจากคณะเกษตร อาหารและการพัฒนาท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล กล่าวว่า การหั่นแครอตเป็นชิ้นเพิ่มพื้นที่ผิว ซึ่งจะทำให้สารอาหารถูกกรองทิ้งลงไปรวมกับน้ำในขณะประกอบอาหาร แต่ถ้าต้องการให้สารอาหารเหล่านี้ยังคงมีอยู่อย่างเต็มที่ ก็จะต้องหั่นเป็นชิ้นหลังปรุงเสร็จแล้ว
นักวิจัยระบุว่า หนูทดลองที่กินอาหารซึ่งประกอบด้วยแครอต หรือสาร "ฟอลคารินอล" จะมีโอกาสน้อยลงถึง 30% ที่เนื้อร้ายจะพัฒนาเป็นมะเร็งอย่างเต็มที่
นักวิจัยบอกด้วยว่า แครอตเมื่อถูกทำให้ร้อน ความร้อนจะฆ่าเซลล์ ทำให้สูญเสียความสามารถที่จะเก็บน้ำไว้ภายใน แต่สาร "ฟอลคารินอล" จะมีความเข้มข้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความร้อนทำให้ผนังเซลล์แครอตอ่อนนุ่ม ทำให้สารอาหารที่สามารถละลายได้ในน้ำ เช่น น้ำตาลและวิตามินซีสูญเสียไปทางพื้นผิวของเนื้อเยื่อ เช่นเดียวกับ "ฟอลคารินอล" ก็จะถูกกรองทิ้งออกไปด้วย และถ้าเราหั่นแครอตก่อนนำมาประกอบอาหารก็จะยิ่งเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของเนื้อเยื่อ การสูญเสียสารอาหารก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaipost.net/tabloid/210609/6546
Back
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น