วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ทางยาของพริก


พริกจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับมะเขือต่าง ๆ และมะเขือเทศ คือ อยู่ในตระกูล Solanaceae พริกที่พบมากในประเทศไทยได้แก่


พริกชี้ฟ้า (Capsicum annuum Linn.)

พริกขี้หนู (Capsicum frutecens Linn.) และ

พริกขี้หนูสวน (Capsicum minimum Roxb.) ซึ่งแต่ละชนิดก็แบ่งย่อยเป็นหลายพันธุ์

สารสำคัญที่ทำให้พริกมีรสเผ็ดร้อนคือ capsaicin พบได้ในพริกแทบทุกชนิดรวมทั้งในพริกไทยและขิง ในปริมาณที่แตกต่างกันตามชนิดของพริก ซึ่ง capsaicin นี้จะอยู่ที่รกพริก (บริเวณที่เมล็ดพริกเกาะอยู่) และที่ septum ส่วนผนังด้านนอกและเมล็ดไม่มีสารนี้อยู่4 capsaicin เป็นสารที่มีโครงสร้างเป็น vanillyl amide capsaicin ออกฤทธิ์โดยทำให้เกิดการปลดปล่อยของสาร P (substance p) ซึ่งเป็น neurotransmitter ที่ส่งผ่านความรู้สึกปวดจากเซลล์ประสาทไปยังสมอง หลังได้รับ capsaicin ซ้ำ ๆ จะทำให้สาร P หมดไป ทำให้อาการปวดลดลง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ David Julius และคณะได้ค้นพบว่า capsaicin และความร้อนจะกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกผ่านช่องทางอิออนเดียวกันซึ่งเขาได้ตั้งชื่อช่องอิออนนี้ตามโครงสร้างของ capsaicin ว่า vanilloid receptor type 1 (VR1) เมื่อถูกกระตุ้นโดยการจับ capsaicin ช่องนี้จะเปิดและยอมให้แคลเซี่ยมและโซเดียมอิออน ผ่านเข้าไปข้างในทำให้ลดความมีขั้วของเส้นใยประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด และทำให้เกิดสัญญาณผ่าน dorsal root ganglion เข้าไปยังสมองทำให้อธิบายได้ว่าทำไมเมื่อรับประทานพริกจะทำให้เกิดความรู้สึกร้อน

พริกมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งเมื่อรับประทานและเมื่อใช้เป็นยาทาภายนอก

ประโยชน์ของพริกเมื่อรับประทาน พริกใช้รับประทานเป็นยาขับเสมหะ ยาฝาดสมาน ช่วยการย่อย เพิ่มความอบอุ่นในร่างกายและรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

เมื่อรับประทานพริก ในช่วงแรกควรรับประทานแต่น้อยและค่อย ๆ เพิ่มขนาดจะทำให้ทางเดินอาหารค่อย ๆ ปรับตัวรับความเผ็ดร้อนและความระคายเคืองของพริกโดยการเพิ่มการหลั่งสารเมือกและ สร้างเนื้อเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มขึ้น

พริกจะลดการเกิดก๊าซที่เกิดจากการย่อยอาหารและการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อท้องที่เกิดจากท้องอืดท้องเฟ้อ

พริกยังใช้ป้องกันหวัด อาจเป็นเพราะว่าพริกอุดมไปด้วย betacarotene bioflavonoid และวิตามินซี และยังถูกดูดซึมได้ดี การกินพริกก่อนอาหารหรือพร้อมอาหารจะแก้อาการเบื่ออาหารได้

เมื่อรับประทานพริกในรูปน้ำชา หรือรับประทานในรูปอาหารในตอนแรกจะทำให้เกิดความเผ็ดร้อนบริเวณริมฝีปากและในช่องปาก แต่ต่อมาจะทำให้รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นสบาย ซึ่งความเผ็ดร้อนนี้ทำให้ลดลงได้มากด้วยอาหารที่มีมะเขือเทศและอาหารที่มี casein เช่น นม บางคนที่มีความไวต่อพริกมาก เมื่อรับประทานพริกจำนวนมากโดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้น ไม่เพียงจะทำให้ริมฝีปากและช่องปากเผ็ดร้อนยังทำให้ระคายเคืองต่อทางเดินอาหารส่วนอื่นด้วย ผลการวิจัยเป็นจำนวนไม่น้อยพบว่าเมื่อรับประทานอย่างถูกวิธี พริกจะไม่ทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้แต่จะช่วยให้เกิดการสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้อีกด้วย

โดยปกติแล้วขนาดรับประทานของพริกในผู้ใหญ่ ในรูปที่เป็นชาชงหรือรูปผงคือ 0.5-3 กรัม ในสหรัฐอเมริกามีพริกจำหน่ายในรูปบรรจุแคปซูลทั้งที่มีพริกอย่างเดียวหรือพริกรวมกับสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ขิง กระเทียม และ Bilberry จำหน่าย ในประเทศไทยมีทิงเจอร์พริก และยาอมแก้เจ็บคอที่มีส่วนผสมของพริก

การใช้พริกเป็นยาทาภายนอกเพื่อลดความปวด

จากการที่ capsaicin สามารถลดความรู้สึกปวดได้จึงมีผู้นำมาใช้เป็นยาภายนอก โดยปกติแล้วจะอยู่ในรูปครีมโดยมี capsaicin 0.025%-0.075% ใช้บรรเทาอาการปวด เนื่องจากโรคข้ออักเสบ (osteoarthritis และ rheumatoid arthritis) โดยใช้ทา 3-4 ครั้งต่อวัน ใช้อย่างน้อยเป็นเวลา 2-4 อาทิตย์ capsaicin จะเสริมฤทธิ์ของยาแก้ปวดอื่น ๆ เช่น methyl salicylate มีผู้พยายามลดการปวดแสบปวดร้อนของพริก โดยใช้ผสมยาชาทาภายนอก เช่น lidocaine หรือ benzocaine6 คณะกรรมการอาหารและยา

ของสหรัฐอเมริกาได้ยอมรับให้ capsaicin เป็นยาที่ใช้ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ (over - the - counter medication) ซึ่งยาดังกล่าวยังใช้สำหรับอาการปวดเรื้อรัง เช่น อาการปวดประสาทภายหลังการเกิดงูสวัด อาการปวดภายหลังการตัดเต้านมเนื่องจากเนื้องอก การปวดประสาทจากเบาหวาน


ผลการทดลองทางคลินิกพบว่า 50% ของผู้ใช้ capsaicin เป็นประจำ นาน 4 - 5 เดือน ในรูปครีมที่ใช้ทาภายนอกจะไม่รู้สึกปวดอีกต่อไป 80% ของผู้ใช้รายงานว่าสามารถบรรเทาอาการปวดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ครีม capsaicin ยังปลอดภัยและมีผลดีต่อการรักษาโรคเรื้อนกวาง


ข้อควรระวังในการใช้ คือ ต้องระวังไม่ให้ผลิตภัณฑ์จากพริกถูกตาหรือแผลเปิด ดังนั้นหลังจากใช้ทาแล้วต้องล้างมือให้สะอาดทันที ถ้าทาแล้วอาการระคายเคืองและแดงยังมีอยู่เป็นเวลานานอาจเกิดเนื่องมากเกินไป ต้องลดจำนวนครั้งที่ทาลงหรือปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

Back

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger